พระอาจารย์ธรรมโชติลือนามอุทยานงามบึงฉวาก ของฝากผ้าทอมือ
เลื่องลืองานยกธง สลักไผ่ตรงท่าช้าง
เขานมนางเลื่องเล่า
เขานมนางเลื่องเล่า
หัวเขาเทโวดัง
ตำนานย่านอำเภอเดิมบางนางบวช
ตำนานย่านเดิมบางนางบวชนี้ เล่ากันหลายสำนวนแต่สำนวนต่างๆก็มีสาระคล้ายๆกัน ผมจะขอเล่าสำนวนนี้ก็แล้วกันลองอ่านดูนะครับ
บ้านเดิมบาง แต่ก่อนเรียกบ้านเดิมนาง เป็นถิ่นกำเนิดของสาวงามคนหนึ่ง ชื่อใดไม่ปรากฏแต่บางสำนวนระบุว่าชื่อนางพิมสุลาไลย เนื่องจากความงามของนางจึงทำให้มีผู้ชายหมายปองมากมาย แต่นางกลับเบื่อหน่ายในโลกีย์ จึงหนีไปจากบ้านเดิมนาง ขึ้นไปบำเพ็ญพรหมจรรย์อยู่บนภูเขา ทำงานทอหูก(เครื่องทอผ้า)เมื่อยามว่างก็นั่งกรอไนปั่นฝ้ายไปเรื่อย
ครั้งนั้นยังมีพรานป่าคนหนึ่งชื่อตาสีนนท์(บ้างเขียนสีนน บ้างก็เขียนศรีนนท์) แกเป็นโรคเรื้อน ผิวกายเป็นหนองเปรอะเปื้อน จึงอยู่เป็นโสด ยึดอาชีพต่อไก่ป่า วันหนึ่งแกเดินผ่านมาเห็นสาวงามคนนี้เข้า ก็เกิดความรักใคร่ต้องการจะได้นางมาเชยชม จึงเอาไก่ต่อผูกกับแท่งหินเป็นหลักไว้ แล้วเสกอาวุธประจำกาย เป็นงูเห่าเลื้อยขึ้นไปหานาง นางตกใจเห็นจวนตัวจึงขยำคองูแน่น แล้วกำคองูตาสีนนท์มาเชือดจนเลือดกระจาย ตาสีนนท์เจ็บปวดร้องลั่นป่า บ้านย่านนั้นจึงได้ชื่อว่า “ บ้านกำมาเชือด “ ต่อมาเพี้ยนเป็นบ้าน“ กำมะเชียร “
ส่วนสาวงามนั้นก็ร้องไห้เสียใจ เสียดายผลกุศลที่อุตส่าห์บำเพ็ญมา นางจึงเอามีดตัดนมทั้งสองข้างขว้างไป เลือดนางหลั่งไหลสร้างความเจ็บปวด นางวิ่งมาถึงภูเขาลูกหนึ่ง สุดทนเจ็บปวดได้จึงร้องโอดโอยครวญคราง ภูเขาลูกนั้นจึงมีชื่อว่า “เขานางโอย” นมทั้งสองข้างเกิดเป็นภูเขาเรียกว่า “เขานมนาง” ส่วนเขาที่สาวงามนั้นนั่งปั่นฝ้ายเรียกว่า”เขากี่”(แปลว่าเครื่องทอผ้า) ส่วนหลักผูกไก่ของตาสีนนท์ ปัจจุบันเขาว่าอยู่หน้าโรงเรียนกำมะเชียร
สาวงามนั้นไม่ตายเมื่อฟื้นขึ้นมา นางก็เดินไปพบแม่น้ำขวางหน้าไม่สามารถข้ามได้ แต่ด้วยผลกุศลที่นางเคยบำเพ็ญมา ทำให้เกิดเหตุมหัศจรรย์มีช้างสารเชือกใหญ่มารับนางไปส่งยังฝั่งตรงข้าม ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนั้นต่อมาว่า”ท่าช้าง” นางได้อธิษฐานขอให้เทพยดาปลงผม และคิ้วให้ เขาตรงนั้นจึงเรียกว่า“เขาคิ้วนาง” แล้วสร้างศาลแทนตัวไว้ จากนั้นนางได้ลงเรือมา จิตใจเริ่มสบายเกิดความรื่นเริง แล้วจึงขึ้นพักที่ริมท่า บ้านนั้นจึงเรียกบ้าน”ท่านางเริง” แล้วเดินทางขึ้นภูเขาต่อไปภูเขานั้นจึงเรียกว่า”เขาขึ้น” แล้วนางจึงบวชชียังวัดในละแวกนั้น วัดนั้นจึงเรียกว่า “ วัดนางบวช “
เรื่องราวดังที่เล่ามาจึงเป็นที่มาของชื่ออำเภอเดิมบางนางบวช
ตำนานย่านเดิมบางนางบวชนี้ เล่ากันหลายสำนวนแต่สำนวนต่างๆก็มีสาระคล้ายๆกัน ผมจะขอเล่าสำนวนนี้ก็แล้วกันลองอ่านดูนะครับ
บ้านเดิมบาง แต่ก่อนเรียกบ้านเดิมนาง เป็นถิ่นกำเนิดของสาวงามคนหนึ่ง ชื่อใดไม่ปรากฏแต่บางสำนวนระบุว่าชื่อนางพิมสุลาไลย เนื่องจากความงามของนางจึงทำให้มีผู้ชายหมายปองมากมาย แต่นางกลับเบื่อหน่ายในโลกีย์ จึงหนีไปจากบ้านเดิมนาง ขึ้นไปบำเพ็ญพรหมจรรย์อยู่บนภูเขา ทำงานทอหูก(เครื่องทอผ้า)เมื่อยามว่างก็นั่งกรอไนปั่นฝ้ายไปเรื่อย
ครั้งนั้นยังมีพรานป่าคนหนึ่งชื่อตาสีนนท์(บ้างเขียนสีนน บ้างก็เขียนศรีนนท์) แกเป็นโรคเรื้อน ผิวกายเป็นหนองเปรอะเปื้อน จึงอยู่เป็นโสด ยึดอาชีพต่อไก่ป่า วันหนึ่งแกเดินผ่านมาเห็นสาวงามคนนี้เข้า ก็เกิดความรักใคร่ต้องการจะได้นางมาเชยชม จึงเอาไก่ต่อผูกกับแท่งหินเป็นหลักไว้ แล้วเสกอาวุธประจำกาย เป็นงูเห่าเลื้อยขึ้นไปหานาง นางตกใจเห็นจวนตัวจึงขยำคองูแน่น แล้วกำคองูตาสีนนท์มาเชือดจนเลือดกระจาย ตาสีนนท์เจ็บปวดร้องลั่นป่า บ้านย่านนั้นจึงได้ชื่อว่า “ บ้านกำมาเชือด “ ต่อมาเพี้ยนเป็นบ้าน“ กำมะเชียร “
ส่วนสาวงามนั้นก็ร้องไห้เสียใจ เสียดายผลกุศลที่อุตส่าห์บำเพ็ญมา นางจึงเอามีดตัดนมทั้งสองข้างขว้างไป เลือดนางหลั่งไหลสร้างความเจ็บปวด นางวิ่งมาถึงภูเขาลูกหนึ่ง สุดทนเจ็บปวดได้จึงร้องโอดโอยครวญคราง ภูเขาลูกนั้นจึงมีชื่อว่า “เขานางโอย” นมทั้งสองข้างเกิดเป็นภูเขาเรียกว่า “เขานมนาง” ส่วนเขาที่สาวงามนั้นนั่งปั่นฝ้ายเรียกว่า”เขากี่”(แปลว่าเครื่องทอผ้า) ส่วนหลักผูกไก่ของตาสีนนท์ ปัจจุบันเขาว่าอยู่หน้าโรงเรียนกำมะเชียร
สาวงามนั้นไม่ตายเมื่อฟื้นขึ้นมา นางก็เดินไปพบแม่น้ำขวางหน้าไม่สามารถข้ามได้ แต่ด้วยผลกุศลที่นางเคยบำเพ็ญมา ทำให้เกิดเหตุมหัศจรรย์มีช้างสารเชือกใหญ่มารับนางไปส่งยังฝั่งตรงข้าม ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนั้นต่อมาว่า”ท่าช้าง” นางได้อธิษฐานขอให้เทพยดาปลงผม และคิ้วให้ เขาตรงนั้นจึงเรียกว่า“เขาคิ้วนาง” แล้วสร้างศาลแทนตัวไว้ จากนั้นนางได้ลงเรือมา จิตใจเริ่มสบายเกิดความรื่นเริง แล้วจึงขึ้นพักที่ริมท่า บ้านนั้นจึงเรียกบ้าน”ท่านางเริง” แล้วเดินทางขึ้นภูเขาต่อไปภูเขานั้นจึงเรียกว่า”เขาขึ้น” แล้วนางจึงบวชชียังวัดในละแวกนั้น วัดนั้นจึงเรียกว่า “ วัดนางบวช “
เรื่องราวดังที่เล่ามาจึงเป็นที่มาของชื่ออำเภอเดิมบางนางบวช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น